Concrete Utopia (2023) วิมานกลางนรก เป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญเกี่ยวกับภัยพิบัติของเกาหลีใต้ที่กำกับโดย Um Tae-hwa และนำแสดงโดย Lee Byung-hun, Park Seo-joon และ Park Bo-young โดยอิงจากส่วนที่สองของเว็บตูน Pleasant Bullying โดย Kim Soongnyung เข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 9 สิงหาคม 2023
"หายนะ และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ เพื่อความอยู่รอด"
เมื่อเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงส่งผลให้สิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเมืองในกรุงโซลทั้งเมืองพังทลายไม่เหลือชิ้นดี แต่อพาร์ทเมนต์ฮวางกุงกลับเป็นอพาร์ทเมนต์เดียวที่ยังคงสภาพปกติ ไม่เสียหายอะไรเลย ซึ่งผู้ประสบภัยที่อยู่นอกอาคารต่างเดินทางมาพักพิงยังอพาร์เมนต์แห่งนี้เรื่อยๆ นั่นทำให้ทางผู้พักอาศัยในอพาร์ทเมนต์เดิมแต่งตั้ง ยองทัก เป็นผู้นำในการรวมพลคนที่พักอาศัยในอพาร์ทเมนต์เดิม ให้ร่วมกันขับไล่คนนอกที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ เพราะกลัวว่าคนเหล่านั้นจะเข้ามาแย่งอาหารและเป็นภัยต่อคนที่พักอาศัยเดิม แต่ว่า มินซองและมยองฮวา คู่สามีภรรยาที่อาศัยในอพาร์ทเมนต์นั้นไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะต้องการช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ด้วยกัน แต่ก็ต้องยอมต่อเสียงส่วนใหญ่ จึงจำต้องเข้าร่วม
การผลักคนนอกให้ออกจากอพาร์ทเมนต์ก็เหมือนไล่พวกเขาให้ไปตาย ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและการต่อสู้เอาตัวรอด ปลุกสันดานดิบ ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ นำมาซึ่งผลลัพท์ที่รุนแรงเกินจะคาดเดา
ภาพยนตร์ภัยพิบัติ และการเอาตัวรอดของเกาหลีเรื่องนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดีเลย แม้หนังจะไม่ได้นำเสนอภาพความรุนแรงของภัยพิบัติเหมือนหนังแฟนไชรส์เรื่องอื่นๆ เพราะหนังเน้นการนำเสนอการเอาตัวรอดจากสภาวะหลังภัยพิบัติที่ผู้คนต่างขาดปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น อาหาร ยา ที่พักอาศัย และสภาพอากาศที่เหน็บหนาว ซึ่งประเด็นที่หนังนำเสนอเหล่านี้ก็ทำออกมาน่าติดตามดี โดยประเด็นหลักๆ เป็นการนำเสนอเกี่ยวกับการตัดสินใจในการกระทำของมนุษย์ต่อมนุษย์เมื่อเผชิญวิกฤติ หนังนำเสนอหลายๆ มุมมองที่เกิดจากการกระทำของตัวละคร การนำเสนอในแง่มุมของการตัดสินใจที่บางทีการอยู่ในกรอบของมนุษยธรรมก็อาจไม่ถูกต้องเสมอไป หรือการเห็นแก่ตัวก็อาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ดังนั้นหนังจึงนำเราไปสู่การตั้งคำถามตามความคิดเห็นที่เรามีต่อแง่มุมของหนังผ่านการตัดสินใจของตัวละคร ในเชิงว่าถ้าเป็นเราจะตัดสินใจอย่างไรกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เข้ามา และในขณะที่ดูก็จะเกิดคำถามว่าสิ่งที่ตัวละครทำนั้นถูกต้องหรือไม่ เป็นหนังที่ทำให้เราคิดเป็นระยะๆ เลยจากเหตุการณ์ในหนังที่เกิดขึ้น
การดำเนินเรื่อง นั้นหนังไม่ได้ใส่ฉากมหันตภัย หรือฉากเสี่ยงตายแบบหวือหวา แต่หนังใส่ความกดดันในแง่ของความเป็นจริง ความลำบาก ความระแวงจากคนกันเอง ความเห็นแก่ตัว และปัญหาจากการดำรงชีวิตในสภาวะขาดแคลน ซึ่งประเด็นเหล่านี้แม้จะไม่หวือหวา แต่หนังเล่าเรื่องได้ชวนติดตาม เพราะหนังทำให้เราลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเหล่าตัวละครต่างๆ ในการตัดสินใจดำเนินการแต่ละอย่าง
นอกจากนี้ในด้านการแสดง ของนักแสดงหลักทั้ง อีบยองฮอน, พัคซอจุน และพัคโบยอง ก็มีส่วนทำให้หนังดูน่าติดตาม เพราะนักแสดงแสดงออกมาได้เหมาะกับคาแร็คเตอร์ตัวเองมากๆ เช่น ตัวที่ร้ายดูน่าระแวงก็ดูสมจริง รวมถึงบทที่บ่งบอกถึงการยากลำบากในการตัดสินใจ บทคนโลกสวย บทการกลัวไปกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหา นักแสดงแสดงออกมาทั้งการกระทำและแววตา สีหน้า ได้ดีมาก
ว่าด้วยเรื่อง CG เรียกได้ว่าออกแบบฉากซากปรักหักพังได้สมจริง ไม่แพ้ Hollywood เลย รวมถึงฉากหายนะจากภัยพิบัติช่วงแรกก็ทำออกมาดีและดูน่ากลัว ในภาพรวม CG นี่เอาคะแนนเต็มไปเลย ตอนนี้กล้าบอกได้เลยว่า CG เกาหลีน่าจะเป็นที่ 1 ในเอเชียแล้วตอนนี้
แม้หนังจะดูสนุก แต่เนื่องด้วยหนังต้องการให้แง่คิดในเรื่องสันดานดิบของมนุษย์ จึงไม่ได้มีความสนุกขั้นลุ้นอะไรสักเท่าไหร่ รวมถึงช่วงไคลแมกซ์ที่นำเสนอบทสรุปในเชิงคำถามปลายเปิด ถ้าใครคาดหวังความลุ้นระทึกจากฉากมหันตภัยหนักๆ ก็อาจจะผิดหวัง แต่ใครชอบหนังแนวเสียดสีสังคม ให้แง่คิด และการนำเสนอความเป็นจริงในแง่ของความเป็นมนุษย์ในช่วงการประสบภัยและความขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีวิตก็ขอแนะนำครับ
ส่วนตัวมีทั้งส่วนที่รู้สึกสนุกกับหนังคือการแก้ปัญหาโดยอยู่ในพื้นของความเป็นมนุษย์ปุถุชนที่ไม่ได้เก่งกาจมีความสามารถอะไร แต่อาจเฉยๆ กับบทสรุป แม้จะให้แง่คิด และคำถามให้ไปคิดต่อ แต่รู้สึกว่าดูจบแบบธรรมดาไปหน่อย แต่การจบแบบนี้และการนำเสนอในเชิงเสียดสีสังคม ก็ไม่แปลกใจที่หนังเรื่องนี้จะเป็นตัวแทนหนังเกาหลีส่งเข้าชิงรางวัลออสการ์ครับ
คะแนนส่วนตัว 3.5/5
ตัวอย่าง
รีวิวโดย A.L. Lucky
ขอบคุณภาพจาก Lotte Entertainment รูปหน้าปกที่ 1
ขอบคุณภาพจาก IMDb เครดิต Lotte Entertainment รูปหน้าปกที่ 2 / รูปหน้าปกที่ 3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น